คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับไตรมาส 1 ปี 2551

Backพฤษภาคม 09, 2551

ที่ SET 51/26

9 พฤษภาคม 2551

เรื่อง คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท ประจำไตรมาส 1 ปี 2551

เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

1. เกณฑ์ในการจัดทำงบการเงินรวม
เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2550 บริษัทได้สละสิทธิในการจองหุ้นสามัญที่ออกใหม่ของบริษัทบำรุง ราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อให้ Asian Financial Holding เข้าถือหุ้นในบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 19.5% เป็นผลให้บริษัทลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จาก 50.0% เป็น 31.5% และบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เปลี่ยนสถานะจาก บริษัทย่อยเป็นบริษัทร่วม ดังนั้นรายการบัญชีของบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้รวมอยู่ใน งบการเงินรวมของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2550 ขณะที่ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 รายการบัญชีของ บริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ไม่ได้รวมอยู่ในงบการเงินรวมของบริษัท โดยที่บริษัทใช้วิธีส่วน ได้เสียแทน เป็นผลให้งบกำไรขาดทุนไตรมาส 3 ปี 2550 สะท้อนผลการรวมรายการบัญชีของบริษัทบำรุง ราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในขณะที่งบกำไรขาดทุนงวด 3 เดือนของปี 2551 ไม่ได้รวมรายการบัญชี ของบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

2. งบกำไรขาดทุน
ในไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาล 2,176 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จาก 2,058 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2550 เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกิจการโรงพยาบาล โดย ที่รายได้จากผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4 และรายได้จากผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 10

รายได้รวมในไตรมาส 1 ปี 2551 เท่ากับ 2,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จาก 2,135 ล้าน บาทในไตรมาส 1 ปี 2550 ซึ่งน้อยกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกิจการโรงพยาบาล เนื่องจากสอง ประเด็นหลัก (1) ในไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัทมีรายได้จากกิจการบริหารโรงพยาบาลจำนวน 17 ล้านบาท เป็ น รายได้ จ ากการบริ หารโรงพยาบาลของบริษัทบำ รุงราษฎร์ อิ น เตอร์เ นชั่น แนล จำกัด ซึ่งในขณะนั้น รายการบัญชียังรวมอยู่ในงบการเงินรวมของบริษัท ในขณะที่ในไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทไม่ได้รวมรายการ บัญชีรายได้จากกิจการบริหารโรงพยาบาลของบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดแล้ว และ (2) ขณะที่ในไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม คือกลุ่มบริษัทบำรุง ราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (ขณะนั้นคือ เอเชียน ฮอสพิทอล อิงค์) จำนวน 8 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม คือจากบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด และ บริษัท ซีดีอี เทรดดิ้ง จำกัด (เดิมชื่อ บริษัท โกลเบิล แคร์ โซลูชั่น (ประเทศไทย) จำกัด) รวมกัน จำนวน 5 ล้านบาท

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทมีต้นทุนกิจการโรงพยาบาล 1,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จาก 1,257 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2550 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำากว่าการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกิจการ โรงพยาบาลเล็กน้อย เนื่องจากมีการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นจึงเพิ่มขึ้นเป็น 39.5% ใน ไตรมาส 1 ปี 2551 จาก 38.9% ในไตรมาส 1 ปี 2550

บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการบริหาร 333 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 ค่อนข้างคงที่เปรียบเทียบกับ 332 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2550 เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ดังนั้น กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 532 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2550 เป็น 577 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ส่วนอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA margin) ในไตรมาส 1 ปี 2551 เพิ่มขึ้นเป็น 25.9% จาก 25.1% ในไตรมาส 1 ปี 2550

บริษัทมีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 5 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 ซึ่งเป็นส่วน แบ่งขาดทุนจาก บริษัท ซีดีอี เทรดดิ้ง จำกัด จำนวน 29 ล้านบาท หักด้วยส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน บริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 24 ล้านบาท บริษัท ซีดีอี เทรดดิ้ง จำกัด มีการบันทึก การขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากการขายสินทรัพย์ให้กับไมโครซอฟท์ในไตรมาส 4 ปี 2551เป็น การทำรายการในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ และเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นจากวันทำรายการ เป็นผลให้มีผลขาดทุน จากรายการดังกล่าวสำหรับจำนวนเงินที่ยังไม่ได้รับชำระ และในส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทบำรุง ราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 24 ล้านบาทนั้น เป็นส่วนแบ่งกำไรจากผลการดำเนินงานของ บริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด 11 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 13 ล้านบาท คือผลกระทบทาง บัญชีจากการกู้ยืมเงินใหม่ (refinancing) ของเอเชียน ฮอลพิทอล ในประเทศฟิลิปปินส์

จากที่กล่าวมาข้างต้น เป็นผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6 จาก 296 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2550 และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 14.1% ในไตรมาส 1 ปี 2551 เทียบกับ 13.9% ในไตรมาส 1 ปี 2550

บริษัทมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.43 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จาก 0.41 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2550 เช่นเดียวกัน กำไรต่อหุ้นแบบปรับลดเพิ่มร้อยละ 6 เป็น 0.36 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2551 จาก 0.34 บาทต่อหุ้นในไตรมาส 1 ปี 2550

(หน่วย: ล้านบาท)
ไตรมาส 1/51
ไตรมาส 1/50
Y-o-Y Growth
รายได้จากกิจการโรงพยาบาล
2,176
2,058
6%
รายได้รวม
2,228
2,135
4%
กำไรขั้นต้น
859
801
7%
อัตรากำไรขั้นต้น
39.5%
38.9%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA)
577
532
8%
อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA Margin)
25.9%
25.1%
กำไรสุทธิ
314
296
6%
อัตรากำไรสุทธิ
14.1%
13.9%
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน
0.43
0.41
5%
กำไรต่อหุ้นแบบปรับลด
0.36
0.34
6%

3. งบดุล
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 บริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียน 1,265 ล้านบาท ลดลงจาก 1,417 ล้าน บาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จากการลดลงของเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เป็น 424 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 550 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เนื่องจากมีการจ่ายค่าก่อสร้าง อาคารบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิก และมีการเพิ่มทุนใน บริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จำนวน 142 ล้านบาท สินทรัพย์ไม่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 6,781 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 6,049 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เนื่องจากที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ เพิ่มขึ้นเป็น 4,847 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 4,145 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จากการซื้ออาคารบีเอช ทาวเวอร์ คืนจาก ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 และการก่อสร้างและตกแต่งภายในเจ็ดชั้นของอาคารบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิก ซึ่งมี กำหนดเปิดให้บริการในกลางปี 2551 ดังนั้นบริษัทมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 8,046 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 7,466 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550

หนี้สินรวมของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 เท่ากับ 3,493 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3,117 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะยาว (รวมเงินกู้ยืมระยะยาวที่ ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี) เป็น 2,058 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 1,772 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จากการที่บริษัทได้เบิกเงินกู้ยืมระยะยาวจำนวน 400 ล้านบาท ในเดือน กุมภาพันธ์ 2551 เพื่อใช้ในการซื้ออาคารบีเอช ทาวเวอร์ หักด้วยการจ่ายคืนเงินกู้ยืมระยะยาว 115 ล้าน บาท ในไตรมาส 1 ปี 2551 เป็นผลให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net debt to equity) เพิ่มขึ้นเป็น 0.36 เท่า ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 0.28 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 อัตราความสามารถชำระ ดอกเบี้ยของบริษัทยังคงสูง เป็น 21.0 เท่าในในไตรมาส 1 ปี 2551 จาก 19.1 เท่าในในไตรมาส 1 ปี 2550

ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น 4,553 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 4,349 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 จากกำไรสุทธิในไตรมาสแรกของปี 2551 อัตราผลตอบแทนจาก สินทรัพย์เฉลี่ยปรับเทียบเต็มปี (Annualized Average ROA) ในไตรมาส 1 ปี 2551 อยู่ที่ 16.2% และ อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเฉลี่ยปรับเทียบเต็มปี (Annualized Average ROE) ยังคงสูงอยู่ที่ 28.3% สำหรับ ไตรมาส 1 ปี 2551

4. สภาพคล่อง
ในไตรมาส 1 ปี 2551 บริษัทมีกระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน จำนวน 447 ล้านบาท เทียบกับ 385 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ของปี 2550 การเพิ่มขึ้นดังกล่าว เนื่องมาจากผลกำไรที่ดีขึ้นของบริษัท กระแสเงินสดใช้ไปในกิจกรรมลงทุนเพิ่มขึ้น เป็น 850 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 จาก 103 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2550 เนื่องจากบริษัทมีการจ่ายซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ และจ่ายชำระเจ้าหนี้งาน ก่อสร้างและอุปกรณ์การแพทย์จำนวน 696 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้ออาคาร บีเอช ทาวเวอร์ และการก่อสร้าง อาคารบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิก รวมทั้งการลงทุนเพิ่มในบริษัทบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่น แนล จำกัด จำนวน 142 ล้านบาท บริษัทมีเงินสดสุทธิจากกิจกรรมจัดหาเงิน 276 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2551 จากเงินสดสุทธิใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 91 ล้านบาทในไตรมาส 1 ของปี 2550 เนื่องจากการ เพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะยาว จำนวน 400 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2551 เป็นผลให้บริษัทมีเงินสดและ รายการเทียบเท่าเงินสดปลายงวดอยู่ที่ 424 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 เทียบกับ 1,045 ล้าน บาท ณ วันที่ วันที่ 31 มีนาคม 2550

อัตราส่วนสภาพคล่อง ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 ลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 0.65 เท่า จาก 0.80 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 อัตราส่วนสภาพคล่องหมุนเร็ว ณ วันที่ 31 มีนาคม 2551 อยู่ที่ 0.51 เท่า เทียบ กับ 0.64 เท่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 การลดลงของอัตราส่วนสภาพคล่อง และอัตราส่วนสภาพคล่อง หมุนเร็วเป็นผลจากการลดลงของเงิน สดและรายการเทียบเท่าเงินสดเป็น 433 ล้านบาท ณ วัน ที่ 31 มีนาคม 2551 จาก 550 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

 

ขอแสดงความนับถือ

 

(นางลินดา ลีสหะปัญญา)
กรรมการผู้จัดการ

Attachments

  • 20080509_bhT2.pdf (Size: 121,196 bytes)